เมื่อมันมาถึงเวลานึง ที่เราต้องรับรู้ และรับมือกับการที่เราต้องแบ่งช่วงความว่างเข้าใจ และความพอใจ ให้กับใครสักคนให้เข้ามา และเข้า(มาใน)ใจ มันก็เหมือนกับการที่เราย่างก้าวเข้าไปยังห้องเรียนวิชานึง ทีชื่อวิชาอาจจะดูดีและใครๆก็สนใจใคร่รู้ แต่วิชานี้อาจจะมีเพียงแค่เขาและเราเท่านั้นที่รู้ว่าทำไงถึงจะเข้าใจ และทำไงถึงจะนั่งเรียนวิชานี้ได้ีดี แม้บางช่วงเวลาเราอาจจะออกไปเดินเล่นนอกห้องเรียน เพียงเพราะเกิดอาการเมื่อย และไม่ชิน แต่เราก็ไม่ควรหลงลืมว่าเราได้ลงหลักปักใจที่จะเรียนรู้วิชา"ชีวิตคู่" แล้ว
แล้วเมื่อช่วงเวลาผ่านไป ที่ล่วงเลยขั้นตอน วิธีการทำเป็นดังขนบธรรมเนียมหรือที่เรียกกันในปัจจุบันว่า "ภาษีสังคม" แล้ว ก็จะถึงช่วงที่เรากลับมาดูใจหรือคนของใจเราจริงๆ เพราะในช่วงเวลานั้นบางทีเราก็ไม่รู้หรอกว่าไอ้ชีวิตคู่ที่เราตกลงปลงใจมาเรียนรุ้เนี่ย มันเหมาะกับเราหรือเปล่า บ้างก็ลองเรียนรู้โดยการอยู่ในที่ที่ไม่มีสัญญาณจากผู้คนเพื่อจะรับรู้กันแค่เรื่องของเรา บ้างก็อยู่ในที่ที่การคมนาคมหนาแน่น เพื่อความสะดวกของชีวิต แต่เมื่อเราหลบหลีกและเดินกลับมายังห้องพัก มันก็ไม่ต่างกับพื้นที่ที่ไม่มีสัญญาณ เพราะเรื่องราวที่เกินขึ้นก่อนจะปิดประตู มันไม่ได้ตามเรามาด้วยเสมอไป และเมื่อเราเปิดประตู ก็ใช่ว่าเราจะยอมรับที่จะละทิ้ง ปล่อยวางหรือเลิกสนใจ
ไม่มีหนทางหรือวิธีใดหรอกที่จะทำให้เราหลงลืมมันไป มันมีแต่วิธีที่ทำให้เราระลึกถึงมันอย่างสุขใจ หรือลำบากใจมากกว่า เพราะวิธีที่เราจะจัดการกับเรื่องราวที่เราเรียกว่าปัญหา มันมีเยอะก็จริงอยู่ และตัวช่วยก็มากมาย แต่ท้ายที่สุดแล้ว ใจกับสมองเราเนี่ยแหละที่จะเป็นคนจัดการมัน ซึ่งมันก็คล้ายกับการที่เรานึกถึงเรื่องราววันวาน ที่มันเป็นดังแบบทดสอบที่เราได้เฉลยมันแล้ว และพอเรากลับไปดูมัน บางทีมันก็ทำให้เรายิ้มยินดีกับคำตอบของเรา หรือรู้สึกหงุดหงิดกับข้อที่เราเลือก